ในตำนานพระบาทตากผ้าได้เล่าว่า ในอดีตสมัยครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายยังดำรงชีพอยู่ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพุทธกิจ เพื่อทิตานุทิตประโยชน์แก่ประชาชนพลโลกทั้งมวลโดยไม่จำกัดชาติ ชั้นวรรณะ ผู้มีอุปนิสัยที่จะบรรลุธรรมได้ย่อมได้รับอนุเคราะห์ในข่ายแห่งพระเมตตากรุณาของพระองค์เสมอหน้ากัน ในยามปัจจุสมัยใกล้รุ่งอรุณวันหนึ่ง พระองค์ทรงแผ่ข่ายพระญาณไปทั่วทิศานุทิศ เพื่อตรวจดูสัตว์โลกผู้ควรแก่ธรรมาภิสมัย (การบรรลุธรรม) ก็ทรงทราบด้วยอนาคตังสญาณว่า สุวรรณภูมิ คือดินแดนที่ตั้งประเทศไทยปัจจุบัน จะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนามั่นคงต่อไปในกาลอนาคต สมควรที่พระองค์จะเสด็จไปประดิษฐานพระศาสนาไว้
ครั้นทรงมีพระราชดำริดังนั้นแล้ว พระองค์จึงทรงเสด็จมาสู่สุวรรณภูมิโดยพุทธนิรมิต มีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ พร้อมด้วยพระอินทร์และพระเจ้าอโศกราช ได้เสด็จจาริกมาตามนิคมชนบทต่างๆ จนมาถึงกระทั่งถ้ำตับเต่า เชียงดาว พระนอนขอนม่วง พระบาทยั้งหวีด และพระธาตุทุ่งตูม ตามลำดับ ได้ทรงเหยียบรอยพระบาทและประทานพระเกศาธาตุประดิษฐานไว้ที่นั้นๆ ตามควรแก่พุทธอัชฌาศัยแล้วเสด็จเลียบลงมาตามฝั่งแม่น้ำปิง
พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงวังแห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้ำใสสะอาด มีท่าอันราบเตียนงาม พระพุทธองค์ทรงหยุดพัก แล้วทรงเปลื้องผ้าจีวรให้พระอานนท์นำไปซัก สถานที่พระอานนท์นำไปซักแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “วังซักครัว” มาตราบเท่าทุกวันนี้ ซึ่งอยู่ในสบกวง อันเป็นที่แม่น้ำปิงและแม่น้ำกวงไหลมาบรรจบกัน จากนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จนำผ้าจีวรไปตากผ้าที่วัดพระบาทตากผ้า แล้วทรงบรรทมที่ดอยม่อนช้าง